สงครามการค้าสหรัฐ-จีน: เมื่อถอยหลังกลับไม่ได้อีกต่อไป

ความจริง! ประเทศไทย

ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกสองประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดูเหมือนจะพยายามลดระดับความแข็งกร้าวลงเมื่อกล่าวถึงนโยบายภาษีที่มีต่อจีน ประเทศที่ได้รับฉายาว่าเป็น “โรงงานผลิตของโลก” และเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา

ทรัมป์ได้ออกมาแสดงความเห็นในเชิงบวกมากขึ้น โดยกล่าวว่ามีโอกาสที่จะบรรลุ “ข้อตกลงที่เป็นธรรม” กับจีน และยังอ้างว่าได้มีการพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง “หลายครั้ง” แม้ว่าทางการจีนจะปฏิเสธข้อกล่าวอ้างนี้อย่างสิ้นเชิงก็ตาม นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเสริมว่าการเจรจาการค้ากับประเทศอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศกำลัง “ดำเนินไปด้วยดี” และใกล้จะบรรลุข้อตกลงกับญี่ปุ่นแล้ว ถึงแม้ว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะไม่ได้มีท่าทีที่สอดคล้องกันก็ตาม

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การเปลี่ยนแปลงท่าทีของทรัมป์เป็นสัญญาณที่ดี บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่โลกอาจหลีกเลี่ยงสงครามการค้าครั้งใหญ่ได้ หากทรัมป์กำลังพยายามหาทางออกที่นุ่มนวลจากนโยบายภาษีที่แข็งกร้าวก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญอีกกลุ่มกลับมีความเห็นตรงกันข้าม พวกเขาเชื่อว่าแม้จะพยายามล่าถอยในขณะนี้ ก็สายเกินไปแล้ว ดั่งคำกล่าวที่ว่า “เหมือนคุณใส่ยาสีฟันที่บีบออกมาแล้วกลับเข้าไปในหลอดไม่ได้” ผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งที่มองเห็นและยังไม่ปรากฏได้เกิดขึ้นแล้ว

สงครามการค้าไม่เคยก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศใด ทั้งประเทศผู้ประกาศนโยบายและประเทศเป้าหมาย ข้อบ่งชี้ต่างๆ ชี้ให้เห็นว่านโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนหดตัวลง ราคาสินค้าจะพุ่งสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบเหล่านี้อาจยังไม่ชัดเจนในปัจจุบัน แต่จะปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวางในเวลาอันใกล้

นโยบายภาษีที่ทรัมป์ประกาศใช้กับสินค้านำเข้าจากจีนได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานระหว่างสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก การที่จีนตอบโต้ด้วยการประกาศห้ามขายสินแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมหลายประเภทในสหรัฐอเมริกา ได้ทำให้ปริมาณสินแร่เหล่านี้ลดลงจนถึงระดับที่น่าเป็นห่วง

ข้อมูลจากบริษัทชิปปิ้งระดับโลกแสดงให้เห็นว่า ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์หลังจากที่กำแพงภาษีต่อจีนมีผลบังคับใช้ ยอดจองตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนส่งสินค้าจากจีนมายังสหรัฐฯ ลดลงมากกว่า 60% เรือบรรทุกสินค้าจากเอเชียที่จะมาเทียบท่าเรือลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นท่าเรือหลักด้านแปซิฟิกของสหรัฐฯ ได้ยกเลิกการเทียบท่าในเดือนพฤษภาคมถึง 20 เที่ยว เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้านี้กว่า 3 เท่า

ผู้เชี่ยวชาญในวงการการค้าระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า ผลลัพธ์ที่จะตามมาคือชั้นวางสินค้าสำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกันจะ “ว่างเปล่า” ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะเกิดการขาดแคลนสินค้าทั้งสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ต้องนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อผลิตและจำหน่าย สินค้าที่ยังพอมีวางจำหน่ายจะมีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าที่มีอยู่เดิมในตลาดมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ ปริมาณสินค้าที่ลดลงยังกระทบต่อแรงงานในภาคส่วนต่างๆ ทั้งพนักงานประจำท่าเรือ คนขับรถบรรทุกขนส่งสินค้า และแรงงานในระบบโลจิสติกส์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานในภาคส่วนเหล่านี้ รวมถึงภาคค้าปลีก โดยผลกระทบนี้อาจเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้

ผู้ผลิตในสหรัฐฯ ที่จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบจากจีนเพื่อผลิตสินค้าจำหน่ายในประเทศก็เริ่มได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีเช่นกัน รายงานการสำรวจการผลิตของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการผลิตในเดือนเมษายนที่ผ่านมาลดลงมากที่สุดเท่าที่เคยมีการสำรวจมา ต่ำกว่าช่วงวิกฤตโควิดในปี 2020 และช่วงเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่เมื่อปี 2008 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การลงทุนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ลดลงอย่างมากจนเกือบหยุดชะงัก อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายภาษีของทรัมป์ บิลล์ อดัมส์ หัวหน้าคณะนักเศรษฐศาสตร์ประจำโคเมริกา แบงก์ ได้เขียนบันทึกถึงลูกค้าของธนาคารว่า “เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกากำลังก้าวไปในทิศทางที่อันตรายอย่างยิ่ง หากเศรษฐกิจยิ่งมุ่งหน้าไปในทิศทางนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น”

ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งเชื่อว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเหตุให้ทรัมป์ส่งสัญญาณแสดงความต้องการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีน ปัญหาคือจีนยังไม่มีท่าทีว่าจะตอบสนองในเรื่องนี้แต่อย่างใด

การเจรจากับคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ก็ไม่ได้คืบหน้าอย่างที่ทรัมป์ต้องการ ญี่ปุ่นยืนกรานที่จะไม่จำกัดการส่งออกรถยนต์ตามที่สหรัฐฯ เรียกร้อง ขณะที่อียูปฏิเสธที่จะเจรจาในประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่มและการอุดหนุนสินค้าเกษตร การเจรจากับประเทศอื่นๆ ก็ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน โดยไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วรัฐบาลทรัมป์ต้องการอะไรกันแน่ และใครจะรับประกันได้ว่าผลการเจรจาจะไม่ถูก “กลับคำ” โดยทรัมป์ในภายหลัง

ภายใต้ความคลุมเครือและความสับสนวุ่นวายนี้ ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนชาวอเมริกัน ได้แต่หวังว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมั่นใจว่ามีวิธีการยุติสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างราบรื่น เช่นเดียวกับตอนที่เขาเริ่มต้นสงครามการค้านี้

drama-addictdrama-addict
drama-addict

ข่าวdrama addict รวมข่าวdrama addict วันนี้ล่าสุด อัปเดตข่าวของdrama addict ทุกประเด็นข่าววันนี้ ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับdrama addict ข่าวด่วนเกี่ยวกับdrama addict โพส Drama-Addict ,เฟส Drama-Addict ,ข่าว Drama-Addict, ดราม่า - แอดดิค