“วินทร์ เลียววาริณ” ชี้ “การเทศน์” คือศิลปะไม่ใช่สูตรเคมี เตือนระวัง “ข่มสาระ” จนมองไม่เห็น

ความจริง! ประเทศไทย

นักเขียนซีไรต์วิเคราะห์ “ว่าด้วยการเทศน์นอกขนบ” ชี้ไม่ว่าขนบเดิมหรือทางใหม่ ก็ถึงจุดดีเลิศได้ทั้งคู่ เพราะการเทศน์คือศิลปะ ไม่ใช่สูตรเคมี แนะฝ่ายที่เทศน์แบบเก่าควรเรียนรู้ ส่วนคนคิดจะออกจากกรอบระวังอย่ายึดมั่นถือมั่นกับมุกเทศน์ ข่มสาระจนมองไม่เห็น ชี้เป้าหมายให้สังคมมีคุณธรรมและคุณค่า ไม่ใช่ความบันเทิง

วันนี้ (7 ก.ย.64) เฟซบุ๊ก “วินทร์ เลียววาริณ” ของ วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนชื่อดัง เจ้าของรางวัลซีไรต์ และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2556 โพสต์ข้อความหัวข้อ “ว่าด้วยการเทศน์นอกขนบ” จากกรณีที่ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระประจำวัดสร้อยทอง กรุงเทพมหานคร ได้ไลฟ์สนทนาธรรมกับ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระนักเทศน์ชื่อดัง โดยมีผู้ชมพร้อมกันกว่า 2 แสนคน ระบุว่า

“(บทความนี้จะคุยเฉพาะในมุมของศิลปะการนำเสนอเท่านั้น ไม่คุยประเด็นอื่นๆ นอกจากนี้)

ช่วงนี้สังคมถกเถียงประเด็นความเหมาะสมของกลวิธีการเทศน์ที่แตกต่างจากขนบเดิม ทำให้นึกถึงครั้งที่ผมทำงานเขียนเรื่องสั้นแบบผิดขนบ

ผมเริ่มต้นชีวิตนักเขียนด้วยการทำงานนอกกรอบ ที่เรียกว่าเรื่องสั้น “แนวทดลอง” เวลานั้นผมอยากเล่นกับสิ่งใหม่ๆ ผมอยากหลุดจากกรอบ ผมเล่นกับกลวิธีการเล่าเรื่อง หรือที่คนในวงการใช้คำว่า “เทคนิค” ยกตัวอย่าง เช่น เล่าเรื่องโดยใช้คำนามอย่างเดียว เล่าเรื่องโดยใช้คำถามอย่างเดียว เล่าเรื่องโดยใช้ชื่อเพลง เล่าเรื่องโดยใช้ข่าวหนังสือพิมพ์ เล่าเรื่องโดยใช้ภาพประกอบ ฯลฯ

หลังจากเผยแพร่งานระยะหนึ่ง วงการหนังสือก็เกิดกระแสการถกคล้ายๆ กับการถกเรื่องพระในตอนนี้ คำวิจารณ์หนึ่งที่ผมได้ยินบ่อยๆ คือ ผมใช้เทคนิคมากเกินสาระ

แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะผมตั้งโจทย์ในการทำงานเหมือนเดิมเสมอมาคือ หนึ่ง สาระต้องดี สอง วิธีการนำเสนอต้องโดดเด่น ฉีกแนว และแตกต่าง

พูดง่ายๆ คือ สาระ : เทคนิค = 50 : 50

ทว่า บทเรียนหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง คือ เมื่อเทคนิคการนำเสนอโดดเด่น ฉีกแนว และแตกต่างมากๆ มันจะข่มสาระจนมองไม่เห็น ต่อให้สาระนั้นจะดีมากแค่ไหน

บทเรียนที่สองที่ผมเรียนรู้ คือ ไม่มีใครในโลกนี้สามารถคิดหาเทคนิคการนำเสนอที่โดดเด่น ฉีกแนว และแตกต่างได้ตลอด ไม่ช้าไม่นานก็จะตัน

ผมเองก็ตัน และเริ่มไม่สนุก เพราะเริ่มใช้พลังงานในการคิดมุขนานกว่าคิดสาระของเรื่อง

ทันใดนั้นผมก็เรียนรู้ว่า การพยายามหนีจากกรอบก็คือกรอบอย่างหนึ่ง

ผมจำไม่ได้ว่าสภาวะ “ซาโตริ” ทางวรรณกรรมนี้เกิดขึ้นเมื่อไร แต่วันหนึ่งผมก็ละทิ้งการแสวงหาความแตกต่างไปใช้หลัก “ไร้กระบวนท่า” ก้าวสู่พรมแดนของ “อะไรก็ได้”

แปลว่า หากเขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งใช้เทคนิคหวือหวาแล้วเรื่องทรงพลังขึ้น ขับเน้นเรื่องขึ้น ก็ใช้ หากเล่าเรื่องแบบธรรมดาได้ ก็เล่าแบบธรรมดา

แล้วประวัติศาสตร์ก็ย้อนรอยเดิมอีกครั้งในอีกวงการหนึ่ง ในประเด็นวิธีการเทศน์ธรรมนอกขนบ คนสองฝั่งต่างก็เชื่อความคิดของตนว่าถูกต้อง

ที่น่าขันเล็กๆ ก็คือ ทั้งสองฝั่งต่างก็เป็นคนในร่มเงาพุทธซึ่งหัวใจ คือ การลดความยึดมั่นถือมั่น

การยึดมั่นถือมั่นในกรอบเดิมกับการดิ้นรนแสวงหาความแตกต่างจากกรอบเดิมก็คือสุดโต่งทั้งคู่

จุดหนึ่งที่ผมรู้สึกประหลาดใจก็คือทั้งสองฝั่งถกเถียงกันเฉพาะในประเด็นถูก-ผิด เหมาะสม-ไม่เหมาะสม ไม่มีใครเห็นแย้งกันในประเด็นว่า “การใช้มุขตลกและลูกเล่นเป็นวิธีเทศน์ที่ดีกว่าการเทศน์แบบเดิมๆ ที่น่าเบื่อ”

หากทั้งสองฝั่งเห็นว่ามันจริง ก็แสดงว่าเราอาจกำลังมีปัญหาใหญ่หลวงเรื่องทัศนคติของการนำเสนอ

การที่คนส่วนมากเห็นว่าการเทศน์แบบเก่าน่าเบื่อ ก็เพราะการเทศน์แบบเก่าจำนวนมากมายน่าเบื่อจริงๆ

แต่ความจริงคือในโลกนี้ก็มีการเทศน์แบบเก่าที่สนุกและไม่น่าเบื่อเช่นกัน และไม่ต้องพึ่ง “เทคนิค”

ระวังอย่าด่วนสรุปว่าโลกมีทางเดินสายเดียว “ที่ดีที่สุด” มันเป็นกับดักอันตรายที่สุดโดยเฉพาะคนที่ทำงานสายที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์

ผมทำงานในวงการสร้างสรรค์มาตลอดชีวิต ทำงานด้วยกลวิธีของขนบเดิมและเทคนิคใหม่ จึงสามารถพูดได้จากประสบการณ์ตรงว่า ไม่ว่าจะเป็นขนบเดิมหรือทางใหม่ ก็สามารถไปถึงจุดดีเลิศได้ทั้งคู่

เพราะอะไร? ก็เพราะการเล่าเรื่องหรือการเทศน์คือศิลปะ ไม่ใช่สูตรเคมี

ดังนั้น ฝ่ายที่เทศน์แบบเก่าซึ่งน่าเบื่อก็ควรเรียนรู้ และปรับปรุงแก้ไขไม่ให้น่าเบื่อ (มันทำได้จริงๆ) ส่วนฝ่ายที่คิดแต่จะออกจากกรอบ และเห็นว่าทุกอย่างที่เป็นของเดิมเลวร้าย ก็ควรระวังอย่าสร้างกับดักทางความคิดขึ้นมาล้อมตัวเองเช่นที่ผมเคยทำมาแล้ว อย่ายึดมั่นถือมั่นกับมุขเทศน์จนถึงจุดที่ต้องใช้พลังงานในการคิดมุขมากกว่าคิดสาระ และพึงระวังว่า “เมื่อเทคนิคการนำเสนอโดดเด่น ฉีกแนว และแตกต่างมากๆ มันจะข่มสาระจนมองไม่เห็น”

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราวัดผลของการเทศน์ที่คนในสังคมมีคุณธรรมและคุณค่ามากขึ้น ไม่ใช่มีความสุขจากความบันเทิงมากขึ้น”

โดยมีผู้ร่วมแสดงความเห็นเช่น

– ขอแนะนำพระแครอททั้ง 2 หัว เทศน์ครั้งต่อไปอย่าลืมเอาถาดมาเข้าฉากด้วย จะเป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่ง ที่สุดยอดมากๆ เทศน์ไปด้วยเคาะหัวกันไปด้วย

—- เปลี่ยนจากถาดเป็นฝาบาตรดีกว่าครับ จะได้ไม่ไปซ้ำกับคณะตลก😂

– เทคนิคการนำเสนอที่แตกต่างในการเทศน์ก็ต้องมาพร้อมกับสติปัญญาและถ้อยธรรม รวมถึงอากัปกิริยา,วัตรปฏิบัติของสงฆ์หรือนักบวช ซึ่งควรสำรวมกาย วาจา ใจ

ตลกนั้นหาดูที่ไหนก็ได้ แต่ตลกห่มผ้าเหลืองนี้ถือเป็นเทคนิคการนำเสนอที่แตกต่างสร้างสรรค์ไหม? แล้วถือว่าเป็นการแหกขนบของคณะตลก? หรือคือการแหกขนบของพระสงฆ์.?

เพราะดูๆแล้วเราก็ไม่เห็นความเป็นพระสงฆ์ที่ทรงภูมิปัญญาธรรมในการนำเสนอจากบุคคลทั้งสองเลย

— แหกขนบตลกค่ะ เพราะไม่ถือว่าทั้ง 2 เป็นพระ ในความเห็นตัวเอง
—– อ้อ เป็นตลกห่มเหลือง

– การเทศน์มหาชาติ สวดโอ้เอ้ สวดคฤหัสถ์
ถือเป็นวิธีสอนธรรมะให้น่าสนใจ เป็นแนวสร้างสรรค์ขั้นสูง เป็นภูมิปัญญาและแนวคิดพลิกแพลงวิธีการที่มีศิลปะ

แต่…คนในสังคมปัจจุบันไม่สามารถคิดอะไรให้ดีกว่าที่พระตลกกำลังทำอยู่

แสดงให้เห็น”ความเสื่อมถอย”ของพุทธบริษัทลงเรื่อยๆ
จะถือว่าเป็นธรรมดา…หรือไม่
ถ้าใช่…ก็จะได้ปลงและทำใจให้นิ่ง

เห็นสมควรยุบเลิกองค์กรที่ตั้งมาส่งเสริมดูแลศาสนาเสีย

– ครั้งนี้ไม่เห็นด้วยกับบทความค่ะ​ ที่เค้าด่า2โล้น​ ไม่ได้ด่าเพราะ​ “เทคนิค​” การเทศน์​ ของแก​

เค้าด่าที่แกหิวแสง​ หลงการเป็น net idol วันๆทำตัวเหมือนเป็นคนที่ยังไม่ได้บวช​ ยุ่งแต่เรื่องโลกๆ ไม่สำรวม​ ไม่ทำในสิ่งที่พระสงฆ์​ ต้อง

และทำในสิ่งที่พระสงฆ์​ ห้ามทำ

— เราก็เห็นพระที่มีพรรษาเยอะ ที่ติดtop ten ที่สอนแบบโลกปัจจุบัน และสอดแทรกสัจจะธรรม บนโลกออนไลน์มี4องค์ นั่นก็ฟังไม่เบื่อนะได้สาระด้วย ไม่สอดแทรกการเมือง เสียดสีทางโลก

แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมา เหมือนเมากัญชา ที่เขาหัวเราะเพราะ เขาพูดออกมาและหัวเราะเอง ทั้งที่ประโยคมันไม่น่าจะหัวเราะได้ การโยนมุขส่งต่อกันสองคน เหมือนตลก จบลงด้วยการสวด

– เรื่องพระหรือ?คนนั้น ไม่ได้เถียงเรื่องสาระ หรือเทคนิคค่ะ เพราะไม่มีทั้งสองอย่าง มีแต่การแถเถียงที่ไม่ใช่จริยาของ สงฆ์ น่าสมเพชค่ะ

– ถ้าเป็นพระที่กำลังเป็นข่าวดัง ผมตั้งใจกลับไปดูไลฟ์​ย้อนหลัง กลัวว่าตัวเองจะตั้งในอคติที่จะเป็นการให้ร้ายสมณะ

ตลอดในช่วงที่ฟังสั้นๆ7-8นาที ไม่มีธรรมะใดหลุดมาแม้แต่คำเดียว มีแต่เรื่องโลกๆและเสียงหัวเราะที่ขาดสติ

เอาเถอะ จริตใครจริตมัน ผมไม่เหมาะกับจริตแบบนี้ อนุโลม​กันมั่วไปหมด เถรวาทปลอมๆ

– สิ่งที่เถียงกันไม่ใช่เทศน์อย่างไร แต่เป็นพฤติกรรมและการแสดงออกที่ไม่ใช่สงฆ์ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์ขายของทั้งทางตรงทางอ้อม ขอเงิน หรือพูดจาส่อเสียด กระแนะกระแหน

— ขอเงินในรูปรับบริจาค โดยไม่มีเหตุผลในการรับเงินที่ชัดเจนอีกด้วยค่ะ

— ไม่ได้มี ธรรมะ อะไรสอดแทรกเลย มีแต่ส่อเสียด เอาฮา ไม่เหมาะกับ สมณเพศเลย

– สึกออกมาก็เป็นแค่หมาสองตัวครับ
เพราะคนปกติก็ตลกโปกฮาอย่างที่มันทำได้
ทุกวันนี้ที่คนสนใจก็เพราะมันดูประหลาด วิปริต วิตถาร เท่านั้น

– เทศน์ควรใช้เทคนิคให้ทันสมัยชอบค่ะ แต่เดรสส้มวาจาส่อเสียดนี่สิคะไม่ควร

สมปองกับทีมนำเสนอธรรมะในรูปแบบที่ผ่านมาดูดีถูกใจคนสมัยใหม่นี่ชอบค่ะ

พอมาจับคู่กับไพรวัลย์ ครั้งนี้เลยเป็นแค่สกินเฮด เดรสส้ม เพราะไม่มีเนื้อหาธรรมะที่น่าสนใจเหมือนสมปองกับทีมที่เคยทำ มีแต่ส่อเสียด เค้นหัวเราะร่า

– มือถือที่ใช้แพงกว่าของกรูอีก ถ้าจะบอกว่ามีคนถวายให้ก็สมควรรับแต่พองาม ไม่ใช่รับเครื่องงามๆ แยกย้าย 555

drama-addictdrama-addict
drama-addict

ข่าวdrama addict รวมข่าวdrama addict วันนี้ล่าสุด อัปเดตข่าวของdrama addict ทุกประเด็นข่าววันนี้ ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับdrama addict ข่าวด่วนเกี่ยวกับdrama addict โพส Drama-Addict ,เฟส Drama-Addict ,ข่าว Drama-Addict, ดราม่า - แอดดิค