(25 ส.ค. 2564) ประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ของวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา ลดลงจากระดับ 91% ก่อนหน้าที่ตัวกลายพันธุ์เดลตาจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ เหลือเพียง 66% หลังจากนั้น จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) ที่เผยแพร่ในวันอังคาร(24ส.ค.) ขณะเดียวกันก็พบเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากในลอสแองเจลิส
ซีดีซีทำการตรวจสอบทบทวนผลจากการใช้งานจริงวัคซีน 2 ตัว มาตั้งแต่ครั้งที่ได้รับการอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินระยะแรกๆกับบุคลากรด้านสาธารณสุข หน่วยฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่แถวหน้าอื่นๆ
เจ้าหน้าที่หลายพันคนใน 8 รัฐของสหรัฐฯจะเข้ารับการตรวจเชื้อในทุกสัปดาห์และเมื่อครั้งเริ่มมีอาการจากการติดเชื้อโควิด-19 เพื่อเปิดทางให้พวกนักวิจัยประมาณการประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อทั้งแบบแสดงอาการและไม่แสดงอาการ
จากการทบทวนอัตราการติดเชื้อในบรรดาคนที่ฉีดวัคซีนแล้วและยังไม่ฉีดวัคซีน ผลการศึกษาในเบื้องต้นระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2020 ถึง 10 เมษายน 2021 ประมาณการว่าประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่ที่ราวๆ 91%
อย่างไรก็ตามในช่วงหลายสัปดาห์จนถึงวันที่ 14 สิงหาคม ครั้งที่ตัวกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายมากกลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงเหลือ 66%
ผู้เขียนรายงานระบุว่ามีสัญญาณเตือนบางส่วน ในนั้นรวมถึงประสิทธิภาพการป้องกันจากวัคซีนอาจลดน้อยถอยลงเมื่อเวลาผ่านไป และยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขประมาณการ 66% ยังอยู่บนพื้นฐานการศึกษาที่ใช้เวลาค่อนข้างสั้นและคำนวณจากผู้ติดเชื้อจำนวนน้อย
“แม้ผลการค้นพบชั่วคราวบ่งชี้ว่าประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ในการป้องกันการติดเชื้อจะลดลงพอประมาณ แต่ด้วยที่มันยังสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้ 2 ใน 3 ตอกย้ำว่าวัคซีนโควิด-19 ยังคงมีความสำคัญและมีประโยชน์” รายงานระบุ
เวลานี้มีผลการศึกษาต่างๆมากมายที่สรุปว่าประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงเมื่อเจอกับตัวกลายพันธุ์เดลตา แม้ระดับตัวเลขที่ลดลงนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละรายงาน
อย่างไรก็ตามจากผลการศึกษาคนไข้ในนิวยอร์กเมื่อเร็วๆนี้ของทางซีดีซี พบว่าประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้ออาการหนักของวัคซีนดูเหมือนมีความคงที่มากกว่า และยังทรงตัวอยู่ในระดับเหนือกว่า 90%
อีกหนึ่งการศึกษาของซีดีซี ในคนไข้ในลอสแองเจลิส ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 25 กรกฎาคม ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร(24ส.ค.) พบว่าบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีน มีความเป็นไปได้ที่จะล้มป่วยอาการหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหากติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วถึง 29.2 เท่า
อย่างไรก็ตามข้อมูลอีกด้านหนึ่งของซีดีซี พบว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ซึ่งเริ่มได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาแล้ว ราว 25% ของเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่โควิด-19 ในเมืองลองแองเจลิส เคาน์ตี เป็นคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้วหรือที่เรียกว่า breakthrough cases
ข้อมูลนี้เผยแพร่ในรายงานประจำสัปดาห์ของทางซีดีซี ในด้านผู้เสียชีวิตและติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเผยให้เห็นว่าเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ซีดีซีพึ่งพิงข้อมูลจากกลุ่มต่างๆ ในนั้นรวมถึงผลการศึกษาของลอสแองเจลิส เคาน์ตี สำหรับสรุปว่าอเมริกันชนจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็ม 3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันหรือไม่ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลวางกรอบยุทธศาสตร์สำหรับฉีดเข็มกระตุ้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน แต่มันต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาทบทวนของสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯและซีดีซี
ข้อมูลใหม่นี้ที่เผยแพร่ในวันอังคาร(24ส.ค.) เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 43,000 คนในหมู่ประชากรลอสแองเจลิส เคาน์ตี อายุ 16 ปีขึ้นไป โดยในนั้น 10,895 ราย หรือ 25.3% เป็นคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว อีก 1,431 รายหรือ 3.3% เป็นคนที่ฉีดวัคซีนไม่ครบ และ 30,801 ราย หรือ 71.4% เป็นคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน
อย่างไรก็ตามวัคซีนยังปกป้องบุคคลเหล่านั้นจากการติดเชื้ออาการรุนแรง จากข้อมูลพบว่ามีคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้วเพียง 3.2% ที่ติดเชื้อโควิด-19 อาการหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล มีแค่ 0.05% ที่ต้องเข้าห้องไอซียู และ 0.25% ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ในส่วนของคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน พบว่าเมื่อติดเชื้อโควิด-19 แล้ว มีถึง 7.5% ที่อาการหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 1.5% ต้องเข้าห้องไอซียูและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 0.5%
(ที่มา:รอยเตอร์ / https://m.mgronline.com/around/detail/9640000083685)